Fitbit ส่งแทรคเกอร์ในซีรีส์ Charge รุ่นใหม่ล่าสุดลงตลาดในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อย โดย Fitbit Charge 5 มาพร้อมการอัปเกรดในหลาย ๆ ด้าน ทั้งดีไซน์ที่บางเบา ดูทันสมัยขึ้น ตัวเรือนเปลี่ยนจากวัสดุโพลีคาร์โบเนตมาเป็นอะลูมิเนียม และมาพร้อมหน้าจอแสดงผล AMOLED รวมถึงยังเป็นแทรคเกอร์รุ่นแรกที่มีเซนเซอร์ EDA มาให้ใช้งานเพื่อบริการจัดการความเครียด ซึ่งถือว่าตอบโจทย์กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้อย่างลงตัว สำหรับฟีเจอร์และความน่าสนใจของแทรคเกอร์รุ่นนี้ จะตอบโจทย์โดนใจผู้ใช้งานที่รักสุขภาพและชื่นชอบการออกกำลังกายได้ดีแค่ไหน มาติดตามรับชมรีวิวฉบับเต็มกันได้เลยครับ
สเปคเบื้องต้น Fitbit Charge 5
- ขนาด 36.7 x 22.7 x 11.2 มม.
- น้ำหนัก 28g
- ความยาวสาย 140 – 180 มม. (Small), 180 -220 มม. (Large )
- หน้าจอแสดงผลแบบสัมผัส ชนิด AMOLED ขนาด 1.04 นิ้ว ความละเอียด 260 x 170 พิกเซล (326 ppi) ความสว่าง 450nits ครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 3 รองรับฟีเจอร์ Always-On Display
- การเชื่อมต่อ Bluetooth v4.0, NFC, Built-in GPS + GLONASS
- เซนเซอร์ Optical heart rate monitor, 3-axis accelerometer, SpO2, temperature sensor, Ambient light sensor, EDA Stress sensor, Vibration motor
- ระบบปฏิบัติการ Fitbit OS รองรับ Apple iOS 12.2 หรือสูงกว่า และ Android OS 8.0 หรือสูงกว่า
- กันน้ำ 5ATM
- แบตเตอรี่ สแตนบายได้ 10 วัน รองรับการใช้งานได้ต่อเนื่อง 7 วัน
- สีที่มีวางจำหน่าย Black / Graphite Stainless Steel, Lunar White / Soft Gold Stainless Steel, Steel Blue / Platinum Stainless Steel
- ราคา 7,690 บาท
บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง
แพคเกจจิ้งมีการเปลี่ยนมาใช้โทนสีตามตัวเรือนของแทรคเกอร์ โดยด้านหน้าจะโชว์รูป Fitbit Charge 5 ขนาดใหญ่เห็นได้ชัดสะดุดตา พร้อมกำกับด้วยสิทธิพิเศษ สำหรับผู้ซื้อ Fitbit Charge 5 สามารถใช้งาน Fitbit Premium ได้ฟรี 6 เดือน ส่วนด้านข้างและด้านหลังกล่องจะพิมพ์ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่น ๆ ของ Fitbit Charge 5 อาทิ ฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ 24 ชั่วโมง, มาพร้อมเซนเซอร์ EDA , มี GPS ในตัว เป็นต้น
เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับตัวเรือน Fitbit Charge 5 โดยที่ฝากล่องจะพิมพ์คำแนะนำในการดาวน์โหลดแอปฯและการสร้างบัญชีแอคเคาท์ เมื่อยกถาดตัว Fitbit Charge 5 จะพบกับกล่องที่ใส่อุปกรณ์ที่ออกแบบได้อย่างสวยงามและเป็นระเบียบ และด้านในสุดของตัวกล่อง จะพิมพ์ระบุการใช้งานเบื้องต้น ทั้งการดาวน์โหลดแอปและการสร้างแอคเคาท์ รวมถึงข้อความต้อนรับเข้าสู่ Fitbit family
สำหรับสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวในครั้งนี้ ตัวเรือนเป็นสี Platinum Stainless Steel พร้อมสายสี Steel Blue (สีน้ำเงิน) นอกจากนี้ยังมีสองสีได้แก่ ตัวเรือนสี Graphite Stainless Steel พร้อมสาย Black (สีดำ) ตัวเรือน Soft Gold Stainless Steel พร้อมสาย Lunar White (สีขาว)
อุปกรณ์ภายในกล่องจะประกอบไปด้วย
- ตัวเรือน Fitbit luxe
- คู่มือการใช้งานฉบับย่อ
- สายซิลิโคนสำรอง / ขนาดยาว
- ที่ชาร์จ USB แบบ dot หัวเข็ม
ในส่วนของสายชาร์จมีการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า โดยมาพร้อมหัวชาร์จแบบแม่เหล็ก และมีปุ่มกดที่หัวชาร์จมาให้ด้วย ซึ่งทำหน้าที่ในการ wake เพื่อให้ตัวนาฬิกาแสดงผลในขณะชาร์จนั่นเอง
รูปลักษณ์ดีไซน์/การออกแบบ
ดีไซน์ในภาพรวมเป็น Major Change เมื่อเทียบกับ Charge 4 เราจะเห็นความแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งตัวเรือนที่บางลงและเปลี่ยนมาใช้วัสดุอะลูมิเนียมที่แข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา พร้อมยกเครื่องหน้าจอแสดงผลด้วยการเปลี่ยนมาใช้หน้าจอสี AMOLED ดีไซน์ในภาพรวมได้มีการขัดเกลาให้ดูนุ่มนวลขึ้น ด้วยเส้นสายและความโค้งมนรอบตัวเรือน ลดความแข็งกระด้างจากรุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้ Fitbit Charge 5 มีความลงตัวในแง่การใช้งานที่หลากหลายขึ้น สามารถใส่ออกกำลังกายหรือจะใส่ในสไตล์แฟชั่นก็ตอบโจทย์ได้ดีเช่นกัน
อีกทั้งยังมาพร้อมสายในรูปทรงใหม่ “อินฟินิตี้แบนด์” แบบหมุดพร้อมระบบสอดปลายสายไว้ด้านใน ซึ่งนอกจากสวยงามแล้ว ยังช่วยให้การสวมใส่มีความกระชับที่ดีอีกด้วย
หน้าจอแสดงผล AMOLED แบบสัมผัส ขนาด 1.04 นิ้ว ความละเอียด 260 x 170 พิกเซล ให้สีสันสดใสสวยงามคมชัด รองรับการใช้งานกลางแจ้งด้วยความสว่างถึง 450nits รวมถึงยังมาพร้อมฟีเจอร์ Always-On Display เพื่อให้สามารถติดตามผลการออกกำลังกายได้แบบเรียลไทม์ต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้กว่า 20 รูปแบบ
Fitbit Charge 5 เป็นแทรคเกอร์ตัวแรกที่มีเซนเซอร์ EDA และยังโดดเด่นด้วยเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ให้ฟีเจอร์มาแบบอัดแน่น ทั้งเซนเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ relative SpO2 Sensor นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่จัดเต็มและครบครัน โดยฟิตบิทได้พัฒนาเทคโนโลยีติดตามการเต้นของหัวใจ PurePulse® ที่ทำงานตลอดเวลา 24/7 และเซนเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ (SpO2) ที่สามารถนำไปใช้ติดตามปัจจัยที่รบกวนการนอน ซึ่งอาจบ่งชี้ปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นต้น
ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนสายได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ เพียงง้างที่สลักแล้วดึงออกก็สามารถเปลี่ยนถอดสายได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนไปใช้สายอื่น ๆ ตามสไตล์การใช้งานที่ชื่นชอบได้อีกด้วย เช่น สายรัดข้อมือไนลอนแบบนิ่ม และสายรัดข้อมือหนังทำมือสุดพรีเมี่ยมจาก Horween (ซื้อเพิ่มเติม)
รองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม iOS และ Android ได้อย่างสมบูรณ์ การทำงานหรือการเซ็ตอัพไม่ได้ยุ่งยากหรือต่างไปจากอุปกรณ์รุ่นอื่น ๆ ของ Fitbit สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพตามคำแนะนำในแอปพลิเคชันได้เลย นอกจากนี้ยังรองรับ Google Fast Pair ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อกับสมารืตโฟน Android ได้อย่างสพดวกรวดเร็ว
ด้านการสวมใส่
Fitbit Charge 5 มาพร้อมสาย Fluoroelastomer straps ที่มีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเปลี่ยนมาใช้ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ “อินฟินิตี้แบนด์” ที่เป็นแบบหมุดพร้อมระบบสอดสายไว้ด้านใน ส่งผลให้มีความกระชับยิ่งขึ้น สามารถตอบโจทย์การสวมใส่เพื่อออกกำลังกายได้ดีเยี่ยมในทุก ๆ กิจกรรม
Fitbit Charge 5 รองรับการกันน้ำ Water-resistance ในระดับ 5 ATM กันน้ำลึกถึง 50 เมตร สามารถใส่ได้ขณะอาบน้ำ ตากฝน ว่ายน้ำในสระหรือทะเล และยังสามารถเช็กระยะเวลาแบบเรียลไทม์บนข้อมือได้ด้วยโหมดว่ายน้ำ (Swim Mode) หรือใช้ SmartTrack® ดูรอบและความเร็วหลังจากว่ายน้ำได้ด้วยแอปฯ ฟิตบิท
การใช้งานเบื้องต้น
Fitbit Charge 5 รองรับการใช้งานระบบสัมผัสบนหน้าจอแบบเต็มรูปแบบ ทั้งการปัดขึ้นลงซ้ายขวาเพื่อเข้าถึงเมนูและฟีเจอร์ต่าง ๆ และการเคาะหน้าจอ 2 ครั้ง จะกลับเข้าสู่หน้าหลัก
การเรียกใช้งานผ่านระบบสัมผัสบนหน้าจอ เมื่อเราปัดจากด้านบนของหน้าจอแสดงผลลงมายังด้านล่าง จะเป็นการเข้าสู่เมนู PAYMENTS, DND MODE, SLEEP MODE, SCREEN WAKE, WATER LOCK, SETTINGS
ปัดจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบนของหน้าจอแสดงผล จะเป็นการเข้าสู่หน้าการแสดงผลแบตเตอรี่ วันที่และเดือน รวมถึงสถิติในการออกกำลังกายเบื้องต้น , ตามด้วยโหมด HOURLY ACTIVITY
สำหรับการปัดจากด้านซ้ายไปยังด้านขวาของหน้าจอแสดงผล จะเข้าสู่ฟีเจอร์ EDA Scan และเมนูนาฬิกาจับเวลา
เมื่อปัดจากด้านขวาไปยังด้านซ้ายของหน้าจอแสดงผล จะเข้าสู่หน้าการแจ้งเตือน Notification ซึ่งรองรับการแจ้งเตือนจากระบบ เช่นการโทร ข้อความ อีเมล ปฏิทิน, ตามด้วยโหมดออกกำลังกาย นาฬิกาปลุก และนาฬิกาจับเวลา
ในส่วนของการแจ้งเตือนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ ณ ปัจจุบันยังไม่รองรับภาษาไทย อาจจะต้องรออัปเดตเฟิร์มแวร์ในอนาคต
แทรคเกอร์ตัวแรกที่มีเซนเซอร์ EDA
ในช่วงปี 2020 พบว่า ผู้ใหญ่กว่า 40% ต้องเผชิญกับความเครียดเป็นอย่างมาก และเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการความเครียดได้ดียิ่งขึ้น Charge 5 จึงเป็นแทรคเกอร์ตัวแรกที่มีเซนเซอร์ EDA ที่คอยวัดการตอบสนองของร่างกายของคุณต่อความเครียด ที่วัดจากการเปลี่ยนแปลงของต่อมเหงื่อบริเวณนิ้วมือ
ซึ่ง ฟิตบิท ได้เปิดตัว EDA เป็นครั้งแรกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วพร้อมกับ Fitbit Sense และพบว่า 70% ของผู้ใช้ สามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจลงได้ ในระหว่างการทำ EDA Scan เป็นเวลา 2 นาที ซึ่งพิสูจน์ว่าเครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดได้จริง
Health Metrics Dashboard – ในแอป Fitbit จะช่วยผู้ใช้งานสามารถเข้าใจค่าพื้นฐานด้านสุขภาพของตนได้ดียิ่ง และเห็นสัญญาณเตือนเกี่ยวกับความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังได้รู้อัตราการหายใจ ค่าความผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจในขณะพัก ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิบนผิวหนังและความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (SpO2)
Fitbit Charge 5 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามอัตราการเต้นของหัวใจในปัจจุบันและวัดการเผาผลาญพลังงานได้ตลอดเวลา ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักเป็นเครื่องบ่งชี้สุขภาพหัวใจโดยรวม ถ้ายิ่งเลขน้อย ยิ่งได้คะแนนมากและผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทการออกกำลังกายได้ถึง 20 ประเภท อาทิ กอล์ฟ พิลาทิส การปั่นจักรยาน เทนนิส ฯลฯ
Heart Rate Variability – ช่วยให้ติดตามการแปรผันของหัวใจ เช่น จังหวะการเต้นของหัวใจที่จะสามารถบ่งบอกสภาวะร่างกายของบุคคลในขณะนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็น สภาวะผ่อนคลาย หรือ สภาวะความเครียดต่าง ๆ เพื่อผู้ใช้ได้รับรู้ท่วงทันและสามารถปรับสมดุลร่างกายให้กลับสู่สภาวะดังเดิม นอกจากนั้นยังช่วยดูอัตราการหายใจ และเซนเซอร์วิเคราะห์ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง หรือ SpO2 ที่เกี่ยวข้องกับการเต้นของหัวใจที่มาพร้อมกับแผงข้อมูลดูแลสุขภาพออกใหม่ล่าสุด
Active Zone Minutes – เป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้งานปรับเปลี่ยนความหนักเบาของการออกกำลังกายได้ โดยวัดจากกิจกรรมส่วนบุคคลที่นอกเหนือจากการก้าวเดิน ระบบนี้สามารถวัดระยะเวลาที่คุณใช้ในแต่ละระดับของอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งช่วยให้คุณวัดกิจกรรมระดับปานกลางและหนัก เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายระยะเวลา 150 นาทีของการออกกำลังกายซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพของคุณ
Wear your Fitbit to bed
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ Fitbit เป็นผู้บุกเบิกจนกลายมาเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ไฮไลท์ของทางค่าย ก็คือ Sleep tracking หรือแทร็คการนอนหลับ ที่สามารถทำได้ละเอียดมาก ๆ ทั้ง Awake, Light Sleep, Deep Sleep, REM
โดยประโยชน์ของ Sleep tracking จะช่วยวิเคราะห์การนอนหลับ และรับคำแนะนำจาก Sleep Insights เพื่อช่วยประมวลผลและปรับปรุงคุณภาพในการนอน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
ด้านการออกกำลังกาย
Fitbit Charge 5 มาพร้อมกับ GPS ในตัวเครื่อง และโหมดการออกกำลังกว่า 20 แบบ ระบบตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ และค่าประมาณ V02 max ของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ หากใช้งานร่วมกับ Fitbit Premium ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงคอนเทนต์การออกกำลังกายกว่า 200 แบบจากเทรนเนอร์ที่ได้รับการรับรองและแบรนด์ดังต่าง ๆ เช่น Daily Burn, barre3, obé และการออกกำลังกายด้วยพลังงานสูงแบบใหม่จาก LES MILLS อีกด้วย
ในโหมดออกกำลังกายบน Fitbit Charge 5 จะมีตัวเลือกพื้นฐานมาให้ใช้งาน 6 รูปแบบ ผู้ใช้งานสามารถจัดเรียงลำดับ ลบหรือเพิ่มโหมดออกกำลังกายที่ต้องการได้ผ่านตัวแอป Fitbit
รองรับสถิติแบบเรียลไทม์ระหว่างการออกกำลังกาย และสามารถให้ SmartTrack จดจำและบันทึกการออกกำลังกายโดยอัตโนมัติ แล้วนำมาซิงค์กับสมาร์ตโฟนในภายหลัง ซึ่งสามารถแสดงผลได้อย่างละเอียดครบถ้วน รวมถึงแสดง Maps ในรูปแบบแผนที่ ที่เราได้ไปออกกำลังกายบนสมาร์ตโฟนได้อีกด้วย
FITBIT PREMIUM
• คุณสามารถเข้าถึงคอนเทนต์การออกกำลังกายกว่า 200 แบบจากเทรนเนอร์ที่ได้รับการรับรองและแบรนด์ดังต่าง ๆ เช่น Daily Burn, barre3, obé เป็นต้น
• Les Mills – ให้คุณออกกำลังกายเพื่อปั๊มหัวใจในแบบที่คุณชื่นชอบ เช่น BODYPUMPTM, BODYATTACKTM, BODYCOMBATTM และอีกมากมาย ที่ทำได้ทั้งที่บ้านและที่ยิม ในการที่คุณออกกำลังกายแบบหนักหน่วงกับ Fitbit Premium นี้ คุณจะได้รับการออกกำลังกาย LES MILLS ใหม่ 25 รายการซึ่งมีอยู่ในแอพ Fitbit นอกจากนี้ ความหนักเบาของการออกกำลังกายและอุปกรณ์ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้หัวใจของคุณได้เต้นอย่างหนัก และบรรลุเป้าหมาย Active Zone Minute (AZM) และถ้าคุณเป็นสมาชิกระดับพรีเมียม ฟีเจอร์ Daily Readiness Score จะเปิดให้ใช้งานในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะกำหนดระดับการเตรียมร่างกายและเป้าหมาย AZM ได้แบบรายวัน
• Fitbit Premium กับหลักสูตร StrongWill ซึ่งจะนำเสนอโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อเรียกเหงื่อและกระตุ้นฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ถึง 6 รูปแบบ คุณยังสามารถสนุกไปกับทีมเทรนเนอร์ของวิลล์สมิธในรูปแบบเวอร์ชวล เพื่อให้การออกกำลังกายของคุณนั้นมีความสนุกและดุเดือดมากยิ่งขึ้น
บทสรุป
Fitbit Charge 5 ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน เริ่มจากดีไซน์ที่ยกเครื่องใหม่ มาพร้อมตัวเรือนอะลูมิเนียมที่บางลงกว่าเดิม พร้อมเปลี่ยนมาใช้จอสี AMOLED และเปลี่ยนรูปแบบสายด้วย “อินฟินิตี้แบนด์” ที่ให้ความกระชับ สวมใส่สบาย เหมาะกับกิจกรรมการออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นแทรคเกอร์รุ่นแรกที่มีเซนเซอร์ EDA มาให้ใช้งานเพื่อบริการจัดการความเครียด ซึ่งตอบโจทย์และเข้าสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับความเครียดจากสถานการณ์โควิด 19 นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยดูแลสุขภาพได้อย่างรอบด้าน ทั้งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ 24 ชั่วโมง วัดอัตราการเต้นของหัวใจในขณะพัก ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิบนผิวหนังและความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (SpO2) รวมถึงสุขภาพการนอนหลับ
สำหรับในด้านออกกำลังกายก็ยังคงจัดเต็ม ด้วยโหมดออกกำลังกว่า 20 รูปแบบ พร้อมฟีเจอร์แบบจัดเต็มยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานร่วมกับ Fitbit Premium และเมื่อรวมกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 7 วัน ส่งผลให้ Fitbit Charge 5 ยังคงเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ สำหรับคนรักสุขภาพและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวันได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ Fitbit Charge 5 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ในราคา 7,690 บาท โดยลูกค้าที่ซื้อ Fitbit Charge 5 จะได้รับสิทธิ์ใช้งาน Fitbit Premium ฟรี!! นาน 6 เดือน สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ที่ Fitbit.com , และมีวางจำหน่ายที่ B2S, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Dotlife, JD Central, Lazada, PowerBuy, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, Shopee, Super Sport และห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์