Fitbit เปิดตัวสมาร์ตวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมการยกเครื่องด้านดีไซน์และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในสมาร์ตวอทช์รุ่นไหน นั่นก็คือเซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA (Electrodermal Activity) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรับรู้และจัดการกับความเครียด ผ่านทางสมาร์ตวอทช์ได้เป็นครั้งแรกของโลก รวมถึงยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาแบบอัดแน่น ไม่ว่าจะเป็น EDA Scan, Skin Temperature Sensor, ECG, SpO2 พร้อมตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ด้วยโหมดออกกำลังกายกว่า 20 รูปแบบ และยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ส่วนจะมีอะไรบ้างขอเชิญติดตามอ่านรีวิวไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ
Unboxing
ตัวกล่องแพ็กเกจจิ้งของ Fitbit Sense มาในโทนสีเทา โดยด้านหน้าโชว์รูปตัวนาฬิกาพร้อมกำกับฟีเจอร์ที่โดดเด่นไว้รอบตัวกล่อง ทั้งฟีเจอร์ตรวจวัดความเครียด, วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ 24 ชั่วโมง, ตรวจจับการนอนหลับและฟีเจอร์ที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย และเมื่อเปิดตัวกล่องออกมาจะพบกับการจัดวางตัว Fitbit Sense และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้อย่างสวยงามลงตัว
ด้านในสุดของตัวกล่องจะมีข้อความต้อนรับสู่การเป็น Fitbit family พร้อมบอกวิธีการเชื่อมต่อ Fitbit Sense กับแอปพลิเคชั่น Fitbit เพื่อการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
อุปกรณ์ภายในกล่องจะประกอบไปด้วย
- ตัวนาฬิกา Fitbit Sense
- คู่มือการใช้งานฉบับย่อ
- สายซิลิโคน L/G (สายยาวสำหรับผู้สวมใส่ที่มีข้อมือใหญ่)
- ที่ชาร์จ USB
สำหรับที่ชาร์จจะเป็นแบบ Pogo pin แบบ 4 dot พร้อมระบบยึดล็อคแบบแม่เหล็ก ส่วนระยะเวลาในการชาร์จ จากระดับแบตเตอรี่ 10 – 80% จะใช้เวลาราว ๆ 40 นาที นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Fast charging ที่ใช้เวลาในการชาร์จ 12 นาที สามารถใช้งานได้ถึง 1 วัน
ดีไซน์ / การออกแบบ
ดีไซน์ในภาพรวมของ Fitbit Sense ยังมีกลิ่นอายของซีรีส์ Versa อยู่บ้าง แต่ก็ได้มีการขัดเกลาด้วยการลบเหลี่ยมมุมที่ดูแข็งกระด้างออกไปจนออกมาเป็น Fitbit Sense ที่มีความลงตัว ทั้งในเรื่องของ curve และเส้นสายที่ให้ความรู้สึกถึงความนุ่มนวล สวยงามและแฝงไว้ด้วยความพรีเมียมตั้งแต่แรกสัมผัส สำหรับสีที่มีให้ใช้งานจะมีด้วยกัน 2 สี คือ Carbon และ Lunar White
Fitbit Sense มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสชนิด AMOLED ในขนาด 1.58 นิ้ว และครอบทับด้วยกระจกกันรอย Gorilla Glass 3 ตัวจอแสดงผลให้ความสว่างคมชัด สามารถใช้งานกลางแจ้งได้แบบสบาย ๆ อีกทั้ง Fitbit Sense ยังมีเซ็นเซอร์ Ambient Light ที่ปรับความสว่างอัตโนมัติซึ่งช่วยให้สบายตาในขณะใช้งาน รวมถึงยังมาพร้อมฟีเจอร์ Always-On Display เพื่อให้สามารถติดตามผลการออกกำลังกายได้แบบบเรียลไทม์ต่อเนื่อง
ตัวเรือนผลิตจากอลูมิเนียมอโนไดซ์ aerospace-grade ที่ใช้ในเทคโนโลยีอากาศยาน จึงมีความโดดเด่นในเรื่องความแข็งแรงและให้น้ำหนักเบา พร้อมเพิ่มความหรูหราพรีเมี่ยมด้วยการตัดเส้นขอบแบบขัดเงาที่ขอบด้านบนรอบตัวเรือน
สำหรับฝั่งซ้ายมือของตัวเรือนจะมีปุ่มแบบสัมผัส ใช้เพื่อการปลุกเครื่อง / ปิดหน้าจอและย้อนกลับมายังหน้าจอหลัก ส่วนฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่ของลำโพงและไมโครโฟนเพื่อใช้ในการสนทนาและคำสั่งเสียง
Fitbit Sense รองรับการกันน้ำในระดับ 5ATM สามารถสวมใส่อาบน้ำ ลุยฝน และใช้งานในกิจกรรมออกกำลังอย่างว่ายน้ำได้โดยไม่มีปัญหา
ตัวสายได้มีการยกเครื่องในการออกแบบใหม่ โดยใน Fitbit Sense จะเป็นสายที่เรียกว่า Infinity Band ที่เก็บปลายสายไว้ด้านใน และให้การสวมใส่ที่กระชับ เบาสบาย โดยตัวสายผลิตจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งเป็นที่นิยมในการนำมาใช้ในสมาร์ตวอทช์หลากหลายรุ่นนั่นเอง
และยังสามารถถอดเปลี่ยนสายได้ง่าย ๆ แค่กดปุ่มที่ตัวนาฬิกาก็พร้อมเปลี่ยนสายได้ในทันทีโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือช่วยแต่อย่างใด
Fitbit Sense มาพร้อมเซ็นเซอร์อย่างครบครัน รวมถึงเซ็นเซอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง EDA Scan, Skin Temperature Sensor, ECG และยังได้อัพเกรด เซ็นเซอร์ HR มาเป็น PurePulse 2.0 optical HR sensor ที่ให้ความแม่นยำกว่าเดิมอีกด้วย
การเชื่อมต่อ
รองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม iOS และ Android ได้อย่างสมบูรณ์ การทำงานหรือการเซ็ตอัพไม่ได้ยุ่งยากหรือต่างไปจากอุปกรณ์รุ่นอื่น ๆ ของ Fitbit สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพตามคำแนะนำในแอปพลิเคชั่นได้เลยครับ
การเข้าถึงเมนูต่าง ๆ
จากหน้าจอหลัก ปัดจากขอบด้านซ้ายมายังด้านขวาจะเป็นการเข้าสู่เมนูทางลัดต่าง ๆ เช่น เปิด Always-On Display, ปรับระดับความสว่าง , เข้าสู่โหมดสลีปเป็นต้น
ส่วนการลากจากหน้าจอแสดงผลด้านบนลงมาด้านล่าง จะเป็นการเข้าสู่หน้าการแจ้งเตือน Notification ซึ่งรองรับการแจ้งเตือนจากระบบ เช่นการโทร ข้อความ อีเมล ปฏิทิน และยังสามารถกำหนดการแจ้งเตือนสำหรับแอปพลิเคชั่นที่รองรับได้อีกด้วย แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย คือยังไม่รองรับภาษาไทยเหมือนเดิมครับ
ปัดจากด้านล่างของจอแสดงผลขึ้นมาด้านบน จะเข้าสู่เมนู Today เป็นการเข้าสู่หน้าการแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ เช่นพยากรณ์อากาศ การแจ้งเตือนกิจกรรมต่าง ๆ ในแบบเรียลไทม์ เช่นจำนวนก้าว, การเผาผลาญแคลอรี่ และอัตราการเต้นของหัวใจเป็นต้น
การเข้าถึงเมนูต่าง ๆ ให้ปัดจากขอบจอด้านขวามายังด้านซ้าย จะเข้าสู่โหมด EDA Scan, Today, โหมดออกกำลังกาย, การตั้งค่าหลักของตัวเครื่อง ฯลฯ
สำหรับเมนูการตั้งค่าหลัก ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าในส่วนของระดับความสว่างของหน้าจอ, การปลุกหน้าจอ, การสั่น ฯลฯ และเมื่อเข้าไปในเมนู About สามารถทำการ Factory Reset เพื่อรีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมดให้กลับไปเป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน และ Shutdown เพื่อปิดนาฬิกา
Watch Face หรือรูปแบบหน้าปัดของนาฬิกา สามารถดาวน์โหลดเพื่อปรับเปลียนได้ 5 รูปแบบ ผ่านแอป Fitbit ซึ่งมีทั้งแบบฟรีและเสียเงินให้เลือกใช้งานตามไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน
โหมดการออกกำลังกาย
ซึ่งในโหมดออกกำลังผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าได้อย่างละเอียด เช่นรูปแบบของ รอบ ระยะทาง การเผาผลาญแคลอรี่ อัตราการเต้นของหัวใจที่กำหนดโซนได้อย่างละเอียดเป็นต้น
โหมดการออกกำลังกายบน Fitbit Sense เมื่อดูในแอปบนสมาร์ตโฟนจะสามารถแสดงผลได้อย่างละเอียดครบถ้วน รวมถึงแสดง Maps ในรูปแบบแผนที่ ที่เราได้ไปออกกำลังกายบนสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย
ในด้านใช้งานการโทรศัพท์เบื้องต้นสามารถใช้ Fitbit Sense เพื่อรับสายและปฏิเสธสายผ่านตัวนาฬิกาได้ แต่ยังไม่สามารถคุยสายผ่านตัวนาฬิกาได้ ซึ่งต้องรอการอัพเดตเฟิร์มแวร์ในอนาคตเพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
บริการ Fitbit Premium จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพในรูปแบบแอดวานซ์และเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ให้คำแนะนำแผนในการออกกำลังกาย, การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของการนอน, อัตราการหายใจ, ติดตามความแปรผันของหัวใจ หรือ Heart Rate Variability (HRV), วิเคราะห์ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง หรือ SpO2 เป็นต้น ซึ่งสามารถทดลองใช้งานได้ฟรีเป็นเวลา 6 เดือน จากนั้นจะเสียค่าบริการเดือนละ 309 บาท
EDA Scan เป็นฟีเจอร์ใหม่ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรับรู้และจัดการกับความเครียด ผ่านทาง Fitbit Sense โดยสามารถวัดความเครียดด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA (Electrodermal Activity) ซึ่งในการใช้งานให้เลือก Quick Scan ในแอป EDA Scan จากนั้นวางฝามือลงบนหน้าจอแสดงผลของ Fitbit Sense เพื่อวัดการทำงานของ electrodermal โดยใช้ความต้านทานไฟฟ้าจากผิวหนัง ประกอบไปด้วยเงื่อนไขจาก เหงือและอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อเข้าถึงข้อมูลระดับความเครียดของแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนะตรวจวัดระดับความเครียด ตัวแอป EDA Scan ยังสามารถให้คำแนะนำในด้านบริหารจัดการความเครียดได้อีกด้วย ทั้งในเรื่องของการนั่งสมาธิ ปรับระดับการหายใจอย่างมีระบบ แน่นอแนว่าถ้าหากเราเป็นสมาชิก Fitbit Premium ก็จะมีรูปแบบการจัดการความเครียดที่มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากหลาย ๆ แบรนด์ดังอีกด้วย
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ Fitbit เป็นผู้บุกเบิกจนกลายมาเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ไฮไลท์ของทางค่าย ก็คือ Sleep tracking หรือแทร็กการนอนหลับ ที่สามารถทำได้ละเอียดมาก ๆ ทั้ง Awake, Light Sleep, Deep Sleep, REM
โดยประโยชน์ของ Sleep tracking จะช่วยวิเคราะห์การนอนหลับ และรับคำแนะนำจาก Sleep Insights เพื่อช่วยประมวลผลและปรับปรุงคุณภาพในการนอน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
Fitbit Sense มาพร้อมฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจผ่านข้อมือตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเทคโนโลยี PurePulse 2.0 ซึ่งเป็นการวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ทันสมัยที่สุดของ Fitbit โดยสามารถตรวจจับภาวะหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ (Bradycardia) หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงเต้นเร็วผิดปรกติ (Tachycardia) พร้อมแจ้งเตือนหากอัตราการเต้นของหัวใจผิดปรกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายรวมถึงผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องของหัวใจได้อีกทางหนึ่งด้วย
สรุป Fitbit Sense
Fitbit Sense มีการปรับเปลี่ยนด้านดีไซน์ ที่ให้ความลงตัวกว่าเดิม ทั้งความสวยงามโดยแฝงไว้ด้วยความเรียบหรู เหมาะกับการสวมใส่ในทุกโอกาส รวมถึงยังอัพเกรดฮาร์ดแวร์ภายในที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานที่สูงขึ้น อาทิเซ็นเซอร์ HR ที่เปลี่ยนมาเป็น PurePulse 2.0 optical HR sensor ที่ให้ความแม่นยำกว่าเดิม รวมถึงแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 6 วัน (ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าและลักษณะการใช้งาน)
นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาแบบอัดแน่นไม่ว่าจะเป็น EDA Scan, Skin Temperature Sensor, ECG, SpO2 พร้อมตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ด้วยโหมดออกกำลังกายกว่า 20 รูปแบบ ตั้งแต่พื้นฐานอย่าง เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ไปจนกีฬายอดนิยมอย่าง กอล์ฟและเทนนิส รวมถึงสามารถติดตามกิจกรรมและสุขภาพในแบบ 24 ชั่วโมง ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ การนอนหลับ วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ฯลฯ เรียกว่าครบครัน ครบเครื่องเท่าที่สมาร์ตวอทช์ระดับไฮเอนด์ควรมี
Fitbit Sense วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ในราคา 11,990 บาท มีสีให้เลือกใช้งานคือสี Carbon และ Lunar White สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ Lazada และ Shopee