เปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ Jabra Elite 5 หูฟัง TWS แบรนด์ชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก ที่มาพร้อมความโดดเด่นแบบรอบด้าน ทั้งฟีเจอร์การตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid ANC ผสานด้วยไมโครโฟน 6 ตัว ช่วยให้คุยสายได้คมชัดยิ่งกว่าที่เคย นอกจากนี้ยังมีดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย สวมใส่ได้กระชับ พร้อมตอบทุกกิจกรรมของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ส่วนฟีเจอร์และความน่าสนใจอื่น ๆ ของ Jabra Elite 5 จะสามารถตอบโจทย์ โดนใจคนที่ชื่นชอบหูฟัง TWS ระดับพรีเมี่ยมได้หรือไม่ มาติดตามรับชมรีวิวฉบับเต็มจากทาง IbelieveIT ไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ
สเปคเบื้องต้น Jabra Elite 5
- ขนาดเคสชาร์จ : 26mm x 38.9mm x 64.1mm น้ำหนัก 40g
- ขนาดหูฟัง : 20mm x 20.54mm x 27mm น้ำหนัก 5g (ต่อข้าง)
- Bluetooth version : 5.2
- Bluetooth profiles : A2DP v1.3, AVRCP v1.6, HFP v1.8, HSP v1.2
- Speaker size : 6mm
- Speaker bandwidth (music mode) : 20Hz – 20000Hz
- Speaker bandwidth (speak mode) : 100Hz – 8000Hz
- Audio codecs supported : AAC, Qualcomm® aptX™, SBC
- ไมโครโฟน : 6 ตัว
- Voice assistant : Amazon Alexa, Siri®, Google Assistant™ (Android only)
- ระบบตัดเสียงรบกวน : Hybrid ANC
- รองรับระบบชาร์จไร้สาย
- รองรับการกันน้ำกันฝุ่นในมาตรฐาน : IP55
- สีที่วางจำหน่าย : Titanium Black และ Gold Beige
- ราคา : 5,290 บาท
บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง
ตัวกล่องมาในโทนสีขาวสะอาดตา ด้านหน้าจะมีรูปตัวหูฟัง Jabra Elite 5 ในสีที่เลือกใช้งาน พร้อมตอกย้ำจุดเด่นด้วยการรับประกันที่ยาวนานถึง 2 ปี โดยสามารถสแกน QR Code ที่ด้านหน้ากล่องเพื่อลงทะเบียนได้อย่างสะดวกง่ายดาย ในส่วนของด้านหลังกล่อง จะกำกับด้วยฟีเจอร์เด่น ๆ ของ Jabra Elite 5 อาทิ ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid ANC รองรับการคุยสายได้อย่างคมชัดด้วยไมโครโฟนถึง 6 ตัว สามารถเชื่อมต่อได้ง่าย ๆ ด้วยฟีเจอร์ Bluetooth Multipoint เข้าถึงผู้ช่วยอัจฉริยะ Smart Voice Assistant และฟังเพลงบน Spotify ได้อย่างรวดเร็วด้วยการแตะ 2 ครั้งบนตัวหูฟัง นอกจากนี้ Jabra Elite 5 ยังมาพร้อมดีไซน์ที่ออกแบบแบบให้สวมใส่ได้กระชับ และมีน้ำหนักเบา สามารถตอบทุกโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ชั่วโมงเมื่อเปิดโหมด ANC และสามารถใช้งานได้นานถึง 28 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับตัวเคสชาร์จ
เมื่อเปิดตัวกล่องออกมาจะพบข้อความต้อนรับสู่คุณภาพเสียงที่เหนือกว่า พร้อมคำแนะนำในการใช้งานเริ่มต้น ทั้งการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Sound+ เพื่อใช้งานร่วมกับหูฟัง Jabra Elite 5 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และคำแนะนำให้ลงทะเบียนเพื่อรับประกันหลังการขายในระยะเวลา 2 ปีเต็ม
และเมื่อดึงแผ่น Get Started ออกมาจะเห็นว่าที่ด้านหลังจะมีการแนะนำวิธีเชื่อมต่อเบื้องต้น ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ผ่านแอปพลิเคชัน Jabra Sound+ นั่นเอง
อุปกรณ์ภายในกล่องจะประกอบไปด้วย
- ตัวเคสชาร์จพร้อมหูฟัง Jabra Elite 5
- EarGels จุกยางแบบซิลิโคน 3 ขนาด (เล็ก กลาง ใหญ่) โดยขนาดกลางได้ติดตั้งไว้กับตัวหูฟังแล้ว
- สายชาร์จชนิด USB-Type – C
- ใบรับประกันสินค้าและคู่มือความปลอดภัย
รูปลักษณ์ดีไซน์การออกแบบ
ถ้ายังจำกันได้เมื่อปีก่อนเทรนด์การออกแบบตัวเคสชาร์จแบบรูปทรงตลับแป้งนั้นมาแรงจริง ๆ ส่วนปีนี้หลายแบรนด์กลับมาออกแบบในสไตล์ที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่ง Jabra Elite 5 ก็ออกแบบตัวเคสชาร์จที่มาในรูปทรงมินิมอล มีขนาดกะทัดรัด พร้อมกับการตัดของเรียบทั้งด้านบนและด้านล่าง โดยการออกแบบลักษณะนี้จะมีข้อดีคือสามารถตั้งตัวเคสได้สะดวกคล่องตัว เพราะสามารถวางได้ทั้งสองด้านนั่นเอง
สำหรับด้านหน้าตัวเคสชาร์จจะมีการสกรีนชื่อแบรนด์เอาไว้พร้อมไฟแจ้งเตือนสถานะการชาร์จและเชื่อมต่อ ส่วนด้านหลังจะเป็นที่อยู่ของพอร์จชาร์จ Type – C และด้านใต้ตัวเคสชาร์จจะมีโลโก้ QI นั่นหมายความว่า Jabra Elite 5 รองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย
สำหรับตัวพอร์ตชาร์จเป็นแบบ Type-C ส่วนระบบชาร์จจะเป็นแบบ Pogo pin แบบ 2 Dot พร้อมระบบยึดแบบแม่เหล็ก ช่วยให้การชาร์จเป็นไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่น แม้จะชาร์จขณะเดินทางก็ตาม
การชาร์จจนเต็มจาก 0- 100% จะใช้เวลา 180 นาที พร้อมรองรับการชาร์จเร็ว โดยชาร์จเพียงแค่ 10 นาที สามารถฟังเพลงได้นานถึง 60 นาทีเลยทีเดียว
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานของแบรนด์ ทำให้การออกแบบหูฟังที่นอกจากจะสวยงามทันสมัยแล้ว ยังมีขนาดกะทัดรัดกำลังพอดี สวมใส่สบายแทบไม่รับรู้ถึงน้ำหนัก เพราะแต่ละข้างเบาเพียง 5 กรัมเท่านั้น อีกทั้งยังออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ จึงช่วยให้การสวมใส่มีความกระชับ ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกสไตล์ ไม่ว่าจะออกกำลังกาย หรือใช้งานทั่ว ๆ ไป แถมยังรองรับฟีเจอร์กันน้ำกันฝุ่นในมาตรฐาน IP55 สามารถสวมใส่ระหว่างออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเหงื่อและละอองฝนอีกด้วย
ด้านนอกสุดของตัวหูฟังจะเป็นแบบปุ่มกดเพื่อเข้าสู่ฟังก์ชันในการสั่งการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการเล่นเพลง รับสาย/ปฏิเสธสาย เปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน ANC เรียกใช้งาน Smart Voice Assistant และฟังเพลงบน Spotify เป็นต้น
ส่วนด้านในของหูฟังแต่ละข้าง จะระบุตัวอักษร L และ R ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้สวมใส่ได้ถูกข้าง และมีเซนเซอร์ Infrared สำหรับตรวจจับการสวมใส่ เมื่อดึงหูฟังออกการเล่นเพลงหรือดูวิดีโอจะหยุดลง ซึ่งจะช่วยให้ในด้านการประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย
ด้านการสวมใส่
Jabra Elite 5 ออกแบบดีไซน์ตามหลักสรีรศาสตร์ มอบการสวมใส่ที่กระชับเบาสบายไม่อึดอัด และไม่หลุดร่วงง่าย และยังมาพร้อมจุกยางถึง 3 ขนาด จึงพร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป หรือจะใส่ออกกำลังกายก็ไม่มีปัญหา อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์การกันน้ำกันฝุ่นได้ในระดับ IP55 ที่สามารถป้องกันละอองน้ำจากเหงื่อหรือฝนจากทุกทิศทางได้ ซึ่งสามารถใส่ลุยฝนปรอย ๆ ได้สบาย แต่ไม่แนะนำให้เอาไปจุ่มน้ำ เพราะยังไม่รองรับถึงขั้นนั้น
ในด้านการควบคุม Jabra Elite 5 ผ่านปุ่มด้านบนของหูฟังข้างซ้ายและขวาซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ด้านการโทร หูฟังข้างซ้าย
- กดหนึ่งครั้งเพื่อรับสาย/วางสาย
- กดสองครั้งติดกันเพื่อปฏิเสธสาย
- กดค้างไว้เพื่อลดระดับเสียง
ด้านการโทร หูฟังข้างขวา
- กดหนึ่งครั้งเพื่อรับสาย/วางสาย
- กดสองครั้งติดกันเพื่อปฏิเสธสาย
- กดค้างไว้เพื่อเพิ่มระดับเสียง
ด้านการฟังเพลง หูฟังข้างซ้าย
- กดหนึ่งครั้ง เปิดใช้งานระบบะตัดเสียงรบกวน (ANC) หรือโหมดฟังเสียงรอบข้าง (HearThrough)
- กดสองครั้งติดกัน เพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ Smart Voice Assistant หรือเปิดเล่นเพลงจาก Spotify
- กดค้างไว้เพื่อลดระดับเสียง
ด้านการฟังเพลง หูฟังข้างขวา
- กดหนึ่งครั้ง เล่น/หยุดเพลง
- กดสองครั้งติดกัน เล่นเพลงถัดไป
- กดสามครั้งติดกัน เล่นเพลงก่อนหน้า
- กดค้างไว้เพื่อเพิ่มระดับเสียง
ด้านการเชื่อมต่อ
การใช้งานหูฟัง Jabra Elite 5 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานควรดาวน์โหลดแอปฯ Jabra Sound+ มาติดตั้งใช้งานร่วมกัน โดยแอปฯ Jabra Sound+ รองรับการใช้งานทั้งบน iOS และ Android แบบฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และอีกหนึ่งจุดเด่นของ Jabra Elite 5 ก็คือมาพร้อม Bluetooth 5.2 ซึ่งเชื่อมต่อกับดีไวซ์ได้สูงสุดถึง 8 เครื่อง และยังมามีฟีเจอร์ Bluetooth Multipoint ที่สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ได้ 2 เครื่องในเวลาเดียวกัน โดยฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การใช้งานมีความสะดวกคล่องตัว ซึ่งบางครั้งเราอาจจะรับชมคอนเทนต์บนอีกดีไวซ์หนึ่ง แต่ถ้ามีสายเรียกเข้าก็สามารถสลับไปรับสายจากสมาร์ตโฟนที่เชื่อมต่อได้ในทันที
นอกจากนี้ Jabra Elite 5 ยังรองรับฟีเจอร์ Fast Pair ทำให้การจับคู่หูฟังกับอุปกรณ์ Android™ เป็นเรื่องที่สะดวกง่ายดาย เพียงทำตามคำแนะนำบนป๊อปอัพแบบครั้งเดียว ก็จะทำให้ Jabra Elite 5 จับคู่ Bluetooth® บนอุปกรณ์ Android™ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และสามารถค้นหาตำแหน่งที่วางหูฟังไว้ได้อย่างง่าย ๆ โดยการเปิดเสียงเรียกเข้าหรือตรวจสอบตำแหน่งที่ทราบล่าสุดในสมาร์ตโฟนของผู้ใช้งาน
เชื่อมต่อ PC ได้ง่ายดายด้วย Swift Pair
Swift Pair ทำให้การจับคู่หูฟัง Jabra Elite 5 กับคอมพิวเตอร์ Windows 10 และ 11 ได้สะดวกคล่องตัวยผ่าน Bluetooth® คำแนะนำการจับคู่ป๊อปอัพจะปรากฏบนอุปกรณ์ Windows 10 / 11 ที่อยู่ใกล้เคียงเมื่อเลือกโหมดการจับคู่
ส่วนการเชื่อมต่อกับดีไวซ์ต่าง ๆ แบบเบสิค โดยไม่ผ่านแอปพลิเคชันหรือฟีเจอร์ Fast Pair และ Swift Pair มีวิธีที่ไม่สลับซับซ้อน เพียงนำหูฟังออกจากตัวเคส จากนั้นกดค้างไว้ที่ปุ่มบนตัวหูฟังทั้งสองข้างไว้เป็นเวลา 3 วินาที จากนั้นทำการเชื่อมต่อผ่านเมนู Bluetooth Setting บนดีไวซ์นั้น ๆ
ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid
Jabra Elite 5 พร้อมมอบประสบการณ์การรับฟังที่ดื่มด่ำ แบบไร้รอยต่อด้วยระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid Active Noise Cancellation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของทาง Jabra ที่ผสานการทำงานระหว่างไมโครโฟนด้านในและด้านนอกร่วมกัน ส่งผลให้สามารถกรองเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้นโดยไม่ต้องดันหูฟังให้แน่นกับรูหู ซึ่งนอกจากจะไม่อึดอัดแล้ว การกรองเสียงแบบ Hybrid ยังสามารถใช้งานได้ดีในทุก ๆ สถานการณ์ และสิ่งที่ทีมงานชื่นชอบมาก ๆ ก็คือการเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวนหรือ ANC ของ Jabra Elite 5 นั้นทำได้ง่าย ๆ เพียงแตะที่ด้านบนของตัวหูฟังข้างซ้ายหนึ่งครั้งก็จะเป็นการเปิดใช้งานในทันที และเมื่อแตะอีกครั้งจะเป็นการเปิดโหมด HearThrough หรือโหมดฟังเสียงภายนอก โดยไม่ต้องถอดหูฟังออกมา ซึ่งจะช่วยให้ใช้งานได้สะดวกคล่องตัวและไม่เสียอรรถรสในการฟังเพลงหรือรับชนคอนเทนต์ในขณะนั้น
ฟีเจอร์และคุณภาพเสียง
ฟีเจอร์การคุยสายแบบแฮนด์ฟรี ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดขายของ Jabra Elite 5 เลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Jabra Elite 5 มาพร้อมไมโครโฟนถึง 6 ตัว จึงมอบการทำงานได้อย่างเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ ซึ่งไมโครโฟนทั้ง 6 ตัวจะทำงานในแบบแอคทีฟ ทั้งการกรองเสียงลม เสียงรบกวนรอบข้าง ช่วยให้ได้ยินเสียงปลายสายได้อย่างชัดเจน พร้อมทำหน้าที่จับเสียงผู้ใช้งานที่สวมใส่หูฟัง Jabra Elite 5 แล้วส่งไปยังปลายสาย ส่งผลให้สามารถสื่อสารได้อย่างคมชัดทั้งต้นสายและปลายสายนั่นเอง และการที่มีไมโครโฟนถึง 6 ตัว ยังช่วยให้การเรียกใช้งานฟีเจอร์ Smart Voice Assistant อย่าง Google Assistant, Siri และ Amazon Alexa มีความแม่นยำเพิ่มยิ่งขึ้นอีกด้วย
Jabra Elite 5 มาพร้อมไดรเวอร์ขนาด 6 มิลลิเมตร แม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ให้เสียงที่อิ่มแน่น มีคุณภาพคับแก้วเกินตัว สามารถตอบโจทย์การฟังเพลงที่ต้องการรายละเอียด รวมถึงเพลงทั่ว ๆ ไปได้ค่อนข้างดี อีกทั้งยังรองรับ Codec aptX, AAC และ SBC ช่วยให้คอเพลงเต็มอิ่มไปกับเสียงเพลงในทุกสถานการณ์ ส่วนเพลงที่ต้องการมวลเบสแน่น ๆ ผู้ใช้งานอาจจะต้องปรับ Equalize ผ่าน Jabra Sound+ เพื่อเพิ่มเสียงเบสให้แน่นขึ้น
อีกทั้งผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าปรับแต่งเสียง Equalizer ได้จากแอปพลิเคชัน Jabra Sound+ โดยเลือกการตั้งค่าจาก Preset ที่มาในแอปพลิเคชันอยู่หรือปรับตั้งค่าตามความต้องการเพื่อให้ตรงกับคุณภาพเสียงและแนวเพลงที่ชื่นชอบได้ รวมถึงสามารถสร้างและบันทึกการตั้งค่าเพื่อใช้งานในครั้งต่อไปได้
และยังตอบโจทย์ด้านการรับชมวิดีโอได้ดีเยี่ยมไม่แพ้การใช้งานด้านอื่น ๆ โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นการรับชมภาพยนตร์ Inception ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีการบันทึกและลำดับเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้สามารถทดสอบคุณภาพหูฟังได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของการถ่ายทอดเอฟเฟกต์ การแยกทิศทางเสียง ความคมชัดของเสียงพูดและดนตรีประกอบในภาพยนตร์
ส่วนการทดสอบเล่นเกม โดยทางทีมงานได้ทดสอบบนเกม ROV, PUBG, Asphalt 9 พบเจออาการดีเลย์เล็กน้อย (เป็นแค่บางช่วง) แต่ก็ไม่ทำให้เสียอรรถรส และพบว่าการถ่ายทอดเสียงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ นั้นให้ความสมจริง แยกมิติซ้ายขวาได้ค่อนข้างดี ส่วนเสียงต่าง ๆ ภายในเกมมีความคมชัด ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาภายในเกม เสียงลม เสียงจากการเดิน หรือการยิงปืนเป็นต้น
บทสรุป
Jabra Elite 5 เป็นหูฟัง True Wireless ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ สามารถใช้งานได้หลากหลายกิจกรรม อาทิ การทำงาน การออกกำลังกาย หรือการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ โดยมาพร้อมดีไซน์สวยงามทันสมัย สวมใส่ได้กระชับตอบทุกโจทย์การใช้งาน ส่วนในด้านฟีเจอร์ถือว่าให้มาแบบอัดแน่น ทั้งระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid ANC และไมโครโฟน 6 ตัว ที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ทั้งภายในและภายนอก มอบการสนทนาแบบแฮนด์ฟรีที่คมชัดยิ่งกว่าที่เคย
นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่สุดอึดสามารถใช้งานต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ชั่วโมง และสามารถใช้งานได้นานถึง 28 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับตัวเคสชาร์จ อีกทั้งยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นหูฟัง TWS ระดับเรือธงจากแบรนด์ชั้นนำ ที่มาพรอมความโดดเด่นรอบด้าน และยังเปิดตัวในราคาที่สมเหตุสมผลอีกด้วย
ราคาและช่องทางวางจำหน่าย