เมื่อช่วงก่อนสิ้นปี 64 โซนี่เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุด WF-C500 โดยมาพร้อมจุดเด่นด้วยดีไซน์สดใสหลากหลายสีสัน มีขนาดกะทัดรัด สวมใส่สบาย รองรับมาตรฐานการกันน้ำฝุ่น IPX4 และผสมผสานเสียงคุณภาพสูงเข้ากับการปรับแต่งเสียงได้เองตามความชอบของแต่ละบุคคลได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังรองรับการใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องชาร์จบ่อย ๆ ซึ่งวันนี้ Sony WF-C500 ได้มาอยู่ในมือของทีมงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาดูกันว่า Sony WF-C500 จะตอบโจทย์โดนใจผู้ที่รักเสียงเพลงได้ดีขนาดไหน สามารถติดตามรับชมรีวิวไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ
สเปกเบื้องต้น Sony WF-C500
- หูฟังน้ำหนักประมาณ 5.4 กรัม x 2
- เคสชาร์จน้ำหนักประมาณ 35 กรัม
- ไดรเวอร์ยูนิต 5.8 มม.
- DSEE (Digital Sound Enhancement Engine) คืนค่าเสียงความถี่สูงให้กับไฟล์เพลงดิจิตอล
- รองรับ 360 Reality Audio
- รองรับ Google Assistant และ Siri
- ปรับตั้งค่า Equalizer และ Bass Boost ผ่านแอปพลิเคชัน Sony Headphones Connect
- กันน้ำ IPX4
- แบตเตอรี่ เล่นเพลงต่อเนื่องนานสูงสุด 10 ชม., สนทนาต่อเนื่องนานสูงสุด 5 ชม.
- ระบบ Quick Charge ชาร์จไฟ 10 นาที ใช้งานต่อเนื่องได้นาน 60 นาที
- Bluetooth 5.0
- มี 4 สี ได้แก่ สีส้ม, สีขาว, สีเขียว และสีดำ
- ราคา 3,490 บาท
บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง
แพ็กเกจจิ้งของ Sony WF-C500 เป็นกล่องกระดาษมาในโทษสีขาวขนาดกะทัดรัด โดยด้านหน้ากล่องจะโชว์รูปตัวหูฟังพร้อมชื่อแบรนด์ / รุ่นและกำกับด้วยฟีเจอร์เด่น ๆ อาทิ รองรับการใช้งานได้ยาวนานถึง 20 ชั่วโมง, รองรับ EQ Custom และกันน้ำกันฝุ่นในมาตรฐาน IPX4 ส่วนด้านหลังกล่องมาพร้อมรายละเอียดชื่อรุ่น, สี, เลขอีมี่, หมายเลขประจำเครื่องและข้อมูลของผู้ผลิต นอกจากนี้ตัวกล่องบรรจุภัณฑ์ของ Sony WF-C500 จะไม่มีส่วนประกอบที่เป็นพลาสติก ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Sony ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องมีดังนี้
- หูฟังไร้สาย Sony WF-C500
- กล่องชาร์จ
- จุกหูฟัง Ear tips (ขนาดเล็ก, กลาง และใหญ่)
- สายชาร์จ USB Type-C
- คู่มือการใช้งานฉบับย่อ + คู่มือการลงทะเบียน
- ใบรับประกัน
รูปลักษณ์ดีไซน์/การออกแบบ
ในปี 64 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหูฟัง True Wireless ส่วนใหญ่จะออกแบบกล่องชาร์จหูฟังในรูปแบบทรงกลมหรือตลับแป้ง แต่ Sony WF-C500 มาพร้อมกล่องชาร์จทรงกระบอกที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด สะดวกต่อการพกพาไปได้ทุกที่ อีกทั้งยังได้ออกแบบดีไซน์ฝาปิดแบบโปร่งแสงที่มีพื้นผิวเหมือนกระจกฝ้าทำให้เคสมีรูปลักษณ์ที่หรูหรา และมีสไตล์ยิ่งขึ้นอีกด้วย
Sony WF-C500 มี 4 สีให้เลือกใช้งาน ได้แก่ Black, White, Mint Green, Coral Pink ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวคือ Mint Green นั่นเอง
WF-C500 ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สวมใส่ได้กระชับหู ด้วยรูปทรงโค้งมนแบบไร้ขอบช่วยให้สวมใส่ได้สะดวก รวมถึงการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยให้กระชับ และสบายยิ่งขึ้น
เมื่อเปิดตัวกล่องชาร์จออกมาจะเห็นตัวหูฟังอยู่ด้านใน โดยหูฟังแต่ละข้างเป็นแบบ In-Ear มีน้ำหนักเบาเพียง 5.4 กรัม ด้านบนของตัวหูฟังจะมีปุ่มกดสำหรับสั่งงานต่าง ๆ โดยแบ่งการทำงานแยกซ้ายและขวา (เมื่อใช้งานพร้อมกัน) ส่วนด้านข้างจะมีไฟ LED บอกสถานะ และช่องไมโครโฟนที่วางขนาบโลโก้แบรนด์ และที่ด้านในจะเป็นหน้าสัมผัส (Pogo pin) สำหรับชาร์จไฟกับตัวเคสชาร์จ พร้อมกับแบ่งสีสัญลักษณ์ L และ R คนละสี เพื่อให้การวางชาร์จและใช้งานได้สะดวกคล่องตัวนั่นเอง
Sony WF-C500 มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 10 ชั่วโมง สามารถชาร์จผ่านเคสได้อีก 10 ชั่วโมง ทำให้ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีระบบ Quick Charge ที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 60 นาที เมื่อชาร์จไฟเพียง 10 นาทีเท่านั้น
สำหรับตัวพอร์ตชาร์จเป็นแบบ Type-C ส่วนระบบชาร์จจะเป็นแบบ Pogo pin แบบ 3 Dot พร้อมระบบยึดแบบแม่เหล็ก ช่วยให้การชาร์จเป็นไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่น แม้จะชาร์จขณะเดินทางก็ตาม ส่วนระยะเวลาในการชาร์จตัวกล่องจนเต็มจะใช้เวลาประมาณ 3 ชม. และหูฟังจะใช้เวลาประมาณ 2.5 ชม.
การสวมใส่
นับตั้งแต่การเปิดตัวหูฟังชนิดใส่ในหูรุ่นแรกของโลกในปี 1982 (MDR-E252) Sony ได้ทำการสำรวจข้อมูลจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับรูปทรงหูจากทั่วโลก หูฟัง WF-C500 เป็นผลิตภัณฑ์จากการวิจัยดังกล่าว โดยเป็นการผสมผสานรูปทรงที่เข้ากับรูหูด้วยการออกแบบพื้นผิวตามหลักสรีรศาสตร์ใหม่เพื่อให้สวมใส่ได้อย่างกระชับยิ่งขึ้น
Sony WF-C500 ออกแบบดีไซน์ตามหลักสรีรศาสตร์ มอบการสวมใส่ที่กระชับเบาสบายไม่อึดอัด และไม่หลุดร่วงง่าย พร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป หรือจะใส่ออกกำลังกายก็ยังไหว อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์การกันน้ำได้ในระดับ IPX4 ที่สามารถป้องกันละอองน้ำจากเหงื่อ หรือฝน จากทุกทิศทางได้ ซึ่งใส่ลุยฝนปรอย ๆ ได้สบาย แต่ไม่แนะนำให้เอาไปจุ่มน้ำ เพราะยังไม่รองรับถึงขั้นนั้น
การเชื่อมต่อ
ในการเชื่อมต่อครั้งแรกจะมีวิธีเชื่อมต่อดังนี้
- ชาร์จไฟให้เต็ม นำหูฟังออกจากกล่องชาร์จแล้วใส่หูฟังทั้งสองข้างเข้าหู
- กดค้างที่หูฟังทั้งสองข้างจนได้ยินคำว่า “Pairing” หูฟังจะเข้าโหมดจับคู่
- เปิด Bluetooth บนอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ ให้เลือกไปที่ชื่อ WF-C500 ในเมนูการตั้งค่า
- เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ ไฟสีน้ำเงินจะกระพริบและดับลง
การใช้งานหูฟัง Sony WF-C500 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานควรดาวน์โหลดแอปฯ Sony | Headphones Connect มาติดตั้งใช้งานร่วมกัน โดยแอปฯ Sony | Headphones Connect รองรับทั้งบน iOS และ Android และอีกหนึ่งจุดเด่นของ Sony WF-C500 ก็คือมาพร้อม Bluetooth 5.0 ที่รองรับการเชื่อมต่อหูฟังทั้ง 2 ข้างเข้ากับสมาร์ตโฟนโดยตรง ซึ่งจะให้ความเสถียรและเชื่อมต่อได้เร็วกว่าแบบเชื่อมต่อหนึ่งข้างกับสมาร์ตโฟน แล้วให้หูฟังเชื่อมต่อกันเอง อีกทั้งยังส่งผลให้มีความหน่วงของเสียงที่ต่ำ ช่วยให้การฟังเพลงได้เต็มอรรถรสยิ่งขึ้น
Sony WF-C500 รองรับฟีเจอร์ Fast Pair ทำให้การจับคู่หูฟังกับอุปกรณ์ Android™ เป็นเรื่องง่าย เพียงแตะคำแนะนำป๊อปอัพแบบครั้งเดียว ก็จะทำให้ WF-C500 จับคู่ Bluetooth® กับอุปกรณ์ Android™ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และสามารถค้นหาตำแหน่งที่วางหูฟังไว้ได้อย่างง่ายดายโดยการเปิดเสียงเรียกเข้าหรือตรวจสอบตำแหน่งที่ทราบล่าสุดในสมาร์ตโฟนของผู้ใช้งาน
เชื่อมต่อ PC ได้ง่ายดายด้วย Swift Pair
Swift Pair ทำให้การจับคู่หูฟัง WF-C500 กับคอมพิวเตอร์ Windows 10 รวดเร็วและง่ายดายผ่าน Bluetooth® คำแนะนำการจับคู่ป๊อปอัพจะปรากฏบนอุปกรณ์ Windows 10 ที่อยู่ใกล้เคียงเมื่อเลือกโหมดการจับคู่
การควบคุมการใช้งานผ่านระบบสัมผัสบนตัวหูฟัง
หูฟังไร้สาย Sony WF-C500 มาพร้อมกับปุ่มควบคุมบนหูฟังทั้ง 2 ข้าง เพื่อใช้งานสำหรับควบคุมระหว่างสวมหูฟัง รวมถึงการเรียกใช้งานผู้ช่วยดิจิตอลอย่าง Google Assistant หรือ Siri โดยรองรับคำสั่งต่อไปนี้
หูฟังข้างซ้าย
- กด 1 ครั้ง เพิ่มเสียง / รับสาย / วางสาย
- กดค้างไว้ ลดเสียง / ปฏิเสธสายโทรเข้า
หูฟังข้างขวา
- กด 1 ครั้ง เพื่อเล่นเพลง / หยุดเล่นชั่วคราว / รับสาย / วางสาย
- กด 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงถัดไป
- กด 3 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า
- แตะค้างไว้ เพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วยดิจิตอล / ปฏิเสธสายโทรเข้า
การเรียกใช้ผู้ช่วยดิจิทัล Google Assistant หรือ Siri จะทำให้สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งปลุก, เพิ่มนัดหมาย, เล่นเพลง, ส่งข้อความ และการสนทนาด้วยการโทรแบบแฮนด์ฟรี สามารถให้เสียงที่ชัดเจนด้วยไมโครโฟนคุณภาพสูงที่มีอยู่ในตัวหูฟังได้อย่างดีเยี่ยมและช่วยให้คุณได้ยินเสียงคู่สนทนาได้ชัดเจน
Sony | Headphones Connect
ในหน้าแรกของตัวแอปฯ (Status) จะแจ้งสถานะสถานะการเชื่อมต่อ ผ่านระบบ AAC/ DSEE ระดับแบตเตอรี่ทั้ง 2 ข้างของหูฟัง ส่วนด้านล่างจะแสดงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ ณ ปัจจุบัน
ในหน้า Sound จะมี Equalize ที่ผู้ใช้งาน สามารถเลือกการตั้งค่าที่หลากหลายเพื่อให้ตรงกับคุณภาพเสียงและแนวเพลงที่กำลังฟัง รวมถึงสามารถสร้างและบันทึกการตั้งค่ารูปแบบ Equalize ที่ชื่นชอบเพื่อเรียกใช้งานได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันยังให้เสียงคุณภาพสูงด้วย DSEE™ (Digital Sound Enhancement Engine) เมื่อเพลงต้นฉบับถูกบีบอัด เพลงจะสูญเสียองค์ประกอบความถี่สูงซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มรายละเอียดและความสมบูรณ์ของแทร็ก ซึ่งฟีเจอร์ DSEE จะคืนค่าเหล่านี้อย่างเที่ยงตรงเพื่อให้ได้เสียงคุณภาพสูงที่ใกล้เคียงกับการบันทึกต้นฉบับ พร้อมสร้างประสบการณ์การฟังเพลงที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ในส่วนของ Bluetooth connection Quality ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ 2 แบบ คือต้องการคุณภาพเสียงสูงสุด หรือต้องการการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด
ดื่มด่ำกับการจำลองเวทีเสียงที่สมจริง
Sony WF-C500 รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง 360 Reality Audio พร้อมมอบประสบการณ์ดื่มด่ำไปกับเสียงรอบตัว ให้ความสมจริงราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตแสดงสดหรือในห้องอัดเสียงของศิลปิน ซึ่งฟีเจอร์ 360 Reality Audio จะทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันที่รองรับเท่านั้น และต้องมีการทำออพติไมซ์วิเคราะห์รูปร่างหูแต่ละข้าง เพื่อปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมกับหูผู้ใช้แต่ละบุคคล
ในปัจจุบันมีหลายแอปฯที่รองรับรับ 360 Reality Audio รวมถึงมีเพลงที่รองรับ 360 เยอะขึ้น แน่นอนว่าแอปฯเหล่านี้จะมีค่าบริการรายเดือน แต่ถ้าใครใช้งานอยู่แล้ว ก็ถือว่าคุ้มมาก ๆ เพราะสามารถใช้งานร่วมกับ Sony WF-C500 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
นอกจากนี้ภายในแอปพลิเคชัน Sony Headphones Connect ยังมีการเก็บสถิติข้อมูลการใช้งานหูฟังในแต่ละวันว่าใช้งานไปนานเท่าไรแล้ว โดยสามารถเก็บสถิตได้ทั้งรายวัน/ สัปดาห์/ เดือน/ ปี และยังมี Badge ที่เป็นกิมมิคเพิ่มความสนุกในการใช้งาน ซึ่งจะเป็นเสมือนการปลดล็อกภารกิจผ่านการใช้งานหูฟังนั่นเอง
คุณภาพเสียง
แม้จะเป็นหูฟังขนาดกะทัดรัด แต่คุณภาพเสียงถือว่าใหญ่เกินตัว โดยคาแรคเตอร์เสียง Sony WF-C500 ในภาพรวมจะเด่นเรื่องรายละเอียด เวทีเสียง แต่กำลังขับจะน้อยไปสักนิด ต้องเร่งเสียงขึ้นสักเล็กน้อยเพื่อให้สามารถสัมผัสถึงคุณภาพของเนื้อเสียง
สำหรับย่านเสียงต่ำ ทดสอบด้วยเพลง Boom Boom Pow ของ The Black Eyed Peas สัมผัสได้ถึงมวลเบสที่มีความสะอาด เก็บตัวเร็ว ไม่ลึกหรือแน่นมาเป็นลูกใหญ่ ๆ แต่ก็ฟังเพลงที่มีจังหวะสนุก ๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง
เมื่อลองทดสอบย่านเสียงกลางด้วยเพลง Ready for the Times to get better เวอร์ชัน Crystal Gayle (Hi-Res Audio) พบว่าเสียงกลางมีความคม และหวานอิ่มแน่น หัวโน๊ตมีความคมชัด โดยเพลงที่เน้น Voice ถือว่าถ่ายทอดออกมาได้ดีเลยทีเดียว
ส่วนย่านเสียงสูง ทดสอบด้วยเพลง Sweet Talks in The Dream (Hi-Res Audio) ที่ขับร้องโดย Tong Li ในเพลงนี้จะมีทั้งเครื่องสาย และเสียงนักร้องที่มีปลายเสียงสูง พบว่าปลายเสียงสูงให้ความใส ไม่แหลมบาดหู ส่งผลให้สามารถฟังได้นาน ๆ โดยไม่รู้สึกล้าหู
สรุปในภาพรวม Sony WF-C500 ตอบโจทย์การฟังเพลงที่ต้องการรายละเอียด รวมถึงเพลงทั่ว ๆ ไปได้ค่อนข้างดี ส่วนเพลงที่ต้องการมวลเบสแน่น ๆ ผู้ใช้งานอาจจะต้อง Equalize ผ่าน Sony | Headphones Connect เพื่อเพิ่มเสียงเบสให้แน่นขึ้น
Sony WF-C500 ตอบโจทย์ด้านการรับชมวิดีโอได้เป็นอย่างดี โดยการทดสอบครั้งนี้ เป็นการรับชมภาพยนตร์ Mad Max ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล “Best Sound Editing and Best Sound Mixing” ในงาน Academy Award ปี 2016 ทำให้สามารถทดสอบคุณภาพหูฟังได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของการถ่ายทอดเอฟเฟกต์ การแยกทิศทางเสียง ความคมชัดของเสียงพูด และดนตรีประกอบในภาพยนตร์ ทำให้การรับชมภาพยนตร์ผ่านทาง Sony WF-C500 นั้นครบทุกอรรถรส
ด้านการคุยสาย Sony WF-C500 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ การสื่อสารปลายสายและต้นสายมีความคมชัด พูดคุยกันรู้เรื่อง แต่ถ้าอยู่ในที่เสียงดัง ๆ อาจจะต้องเร่งเสียงเพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจนขึ้น
ปิดท้ายกันไปด้วยส่วนการทดสอบเล่นเกม โดยทดสอบบนเกม ROV, PUBG, Asphalt 9 เจออาการดีเลย์เล็กน้อย แต่ก็ไม่ทำให้เสียอรรถรส และพบว่าการถ่ายทอดเสียง เอฟเฟกต์ต่าง ๆ นั้นให้ความสมจริง แยกมิติซ้ายขวาได้ค่อนข้างดี ส่วนเสียงต่าง ๆ ภายในเกมมีความคมชัด ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาภายในเกม เสียงลม เสียงจากการเดิน การยิงปืนเป็นต้น
บทสรุป
Sony WF-C500 เป็นหูฟังแบบไร้สาย True Wireless ที่มาพร้อมดีไซน์สวยงาม ในสไตล์มินิมอล พร้อมตัวเลือกสีสันที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานด้วยขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก มีปุ่มควบคุมบนตัวหูฟัง รองรับการใช้งานด้านการโทร เล่นเพลง รวมถึงเรียกใช้งานผู้ช่วยดิจิทัล Google Assistant หรือ Siri ได้ง่าย ๆ ผ่านปลายนิ้วสัมผัส และตัวหูฟังยังได้มีการออกแบบพื้นผิวตามหลักสรีรศาสตร์ใหม่เพื่อให้สวมใส่ได้อย่างกระชับยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IPX4 ซึ่งช่วยให้ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายกิจกรรม
ในด้านคุณภาพเสียง แม้จะเป็นรุ่นเล็กแต่ให้เสียงใหญ่เกินตัว สามารถตอบโจทย์การฟังเพลงที่ต้องการรายละเอียด รวมถึงเพลงทั่ว ๆ ไปได้ค่อนข้างดี โดยมาพร้อมฟีเจอร์เด่น ๆ มากมาย อาทิ DSEE™ (Digital Sound Enhancement Engine ที่ช่วยคืนรายละเอียดให้เพลงที่ถูกบีบอัด กลับมามีคุณภาพเสียงสูงได้ใกล้เคียงกับการบันทึกต้นฉบับ , Equalize ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกการตั้งค่าที่หลากหลายเพื่อให้ตรงกับคุณภาพเสียงและแนวเพลงที่กำลังฟัง , รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง 360 Reality Audio พร้อมมอบประสบการณ์ดื่มด่ำไปกับเสียงรอบตัว ปิดท้ายกันไปด้วยแบตเตอรี่สุดอึด สามารถใช้งานได้ยาวนานถึงสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีระบบ Quick Charge มาให้ใช้งานอีกด้วย
ทั้งนี้ หูฟังไร้สาย Sony WF-C500 มีให้เลือก 4 สีคือ สีดำ (Black) สีขาว (White) สีเขียวมินท์ (Mint Green) และสีส้ม (Coral Pink) ราคา 3,490 บาท วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่โชว์รูม โซนี่ สโตร์ ทุกสาขา ร้านโซนี่ เซ็นเตอร์ และร้านตัวแทนจำหน่ายของโซนี่